Minoxidil กินยังไง ปลอดภัยมั้ย
Minoxidil กินยังไง ปลอดภัยมั้ย

Minoxidil คืออะไร? ใช้อย่างไรให้ได้ผล และปลอดภัยสำหรับผมร่วงจริงมั้ย?

เส้นผมไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นใจ บุคลิกภาพ และตัวตนของใครหลายคน เมื่อผมเริ่มบางลง หรือร่วงมากกว่าปกติ หลายคนอาจเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แม้จะพยายามบอกตัวเองว่า “แค่ผมร่วง” แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้ก็สามารถสะเทือนใจได้มากกว่าที่คิด

ในยุคที่ไลฟ์สไตล์เร่งรีบ ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ และมลภาวะกลายเป็นเรื่องปกติ ปัญหาผมร่วงจึงพบได้มากขึ้น และส่งผลกระทบทั้งกับผู้ชายและผู้หญิงอย่างแพร่หลายและได้มองหาทางแก้ปัญหาผมร่วงผมบางนี้ หนึ่งในทางแก้ที่หลายคนเลือกนั่นคือการใช้ยา ไมน็อกซิดิล (Minoxidil) แต่ไมน็อกซิดิลคืออะไร? เรามาทำความเข้าใจยาตัวนี้กันก่อน ทั้งในแง่ของกลไกการทำงาน ข้อดี ข้อจำกัด และใครบ้างที่เหมาะสมหรือควรหลีกเลี่ยง พร้อมเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นที่มีงานวิจัยรองรับ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจดูแลเส้นผมได้อย่างเหมาะสมกับตัวเองที่สุด

ไมน็อกซิดิล คืออะไร?

Minoxidil แบบทาน

ไมน็อกซิดิล คือสารออกฤทธิ์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ให้ใช้รักษาภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์หรือที่เรียกว่า Androgenetic Alopecia ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยเริ่มต้นจากการเป็นยารักษาความดันโลหิตสูง ก่อนที่นักวิจัยจะพบว่า มีผลข้างเคียงในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม จึงนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบทาภายนอก เช่น แบบน้ำ แบบโฟม และแบบรับประทาน

ทำไมยาความดันไมน็อกซิดิล ถึงใช้รักษาผมร่วงได้?

Minoxidil ไม่ได้เปลี่ยนระดับฮอร์โมน DHT (ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงแบบพันธุกรรม) แต่ช่วยดูแลปัจจัยภายนอกด้วยวิธีดังนี้

  • ขยายหลอดเลือดที่หนังศีรษะ (Vasodilation) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังรากผม
  • กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมเข้าสู่ ระยะเติบโตของเส้นผม หรือ Anagen Phase มากขึ้น
  • ยืดอายุของเส้นผมมนระยะเจริญเติบโต ลดระยะหลุดร่วง หรือ Telogen Phase ทำให้ผมร่วงน้อยลงและดูหนาขึ้น

สรุปคือไมน็อกซิดิลไม่ได้ช่วยแก้ผมร่วงที่ต้นเหตุ (ฮอร์โมน DHT) โดยตรง แต่ช่วยแก้ผมร่วง กระตุ้นผมงอกใหม่ได้ด้วยการขยายหลอดเลือดที่หนังศีรษะโดยตรง

ผมร่วงแบบไหนบ้างที่ใช้ยาไมน็อกซิดิลรักษาได้?

ในวงการแพทย์ผิวหนัง ยาไมน็อกซิดิลจะหมาะกับผู้ที่มีภาวะผมร่วงจากพันธุกรรม โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มสังเกตเห็นว่าเส้นผมบางลงบริเวณกลางศีรษะหรือแนวหน้าผาก ได้แก่

  • ผู้ชายที่เริ่มมีผมเถิกรูปตัว M หรือกลางศีรษะบาง
  • ผู้หญิงที่มีผมบางกระจายทั่วศีรษะ
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวผมร่วงจากพันธุกรรม
ผมร่วงใช้ Minoxidil

ผมร่วงแบบไหนบ้างที่ไม่ควรใช้ยาไมน็อกซิดิล?

ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่ผมร่วงจากสาเหตุอื่นนอกจากปัญหาผมร่วงจากพันธุกรรมโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะไมน็อกซิดิลไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ได้แก่

  • ผมร่วงจากโรคผิวหนัง (เช่น เชื้อรา รังแค หรือโรคสะเก็ดเงิน) ต้องรักษาการอักเสบหรือติดเชื้อก่อน มิฉะนั้นไมน็อกซิดิลอาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองมากขึ้นได้
  • ผมร่วงจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata), โรค SLE คนที่ผมร่วงจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองจะต้องการการรักษาเฉพาะทางด้วยยากดภูมิ
  • ผมร่วงจากการขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็กหรือโปรตีน การใช้ Minoxidil เพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล หากร่างกายยังขาดสารอาหารพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างเส้นผมอยู่
  • ผมร่วงหลังคลอด เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอว่าใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรได้หรือไม่

ยาไมน็อกซิดิลมีกี่แบบ? ต่างกันอย่างไร?

1. ไมน็อกซิดิลแบบทา แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่

  • แบบน้ำ (Topical Solution) ลักษณะเนื้อใสบางเบา มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และโพรพิลีนไกลคอลเพื่อช่วยดูดซึมมักมีความเข้มข้น 2% (สำหรับผู้หญิง) และ 5% (สำหรับผู้ชาย) อาจทำให้บางคนรู้สึกระคายเคืองหรือแห้ง คันบริเวณที่ทา
  • แบบโฟม (Foam) ไม่มีโพรพิลีนไกลคอล จึงลดการระคายเคืองได้ดี แห้งไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ความเข้มข้นมาตรฐาน 5% นิยมใช้ในผู้ชายที่มีผิวแพ้ง่าย หรือผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้งาน

2. ไมน็อกซิดิลแบบรับประทาน ใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา หรือในผู้ที่มีภาวะผมร่วงรุนแรง ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจ ความดัน และต้องมีการติดตามอาการเป็นระยะ

Minoxidil แบบทา

วิธีใช้ยาไมน็อกซิดิลแบบทา

  1. เช็ดหนังศีรษะให้แห้งก่อนใช้ยา
  2. ใช้ในปริมาณตามฉลาก (เช่น 1 มล. สำหรับสูตรน้ำ)
  3. ทายาเฉพาะจุดที่ต้องการกระตุ้นผมงอก ไม่เกินวันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น)
  4. ล้างมือหลังใช้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้ยาไหลมาโดนใบหน้า
  5. ควรรออย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนสระผม
  6. ใช้อย่างต่อเนื่อง 3 – 6 เดือน จะเริ่มเห็นผล

ผลข้างเคียงของไมน็อกซิดิล

  • คัน แสบ หรือระคายเคืองที่หนังศีรษะ
  • ผมร่วงมากขึ้นในช่วง 2 – 6 สัปดาห์แรก (เรียกว่า Shedding Phase)
  • ขนขึ้นผิดที่ (เช่น ใบหน้า คอ) หากยาไหลลงมา
  • อาการหัวใจเต้นเร็วหรือบวม ในกรณีดูดซึมมากหรือใช้เกินขนาด

ข้อควรระวังก่อนใช้ไมน็อกซิดิล

  • ห้ามใช้บนหนังศีรษะที่มีแผลเปิด ติดเชื้อ หรือมีรอยแดง
  • สามารถใช้ร่วมกับแชมพูและเซรั่มอื่นได้ แต่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต้องอ่อนโยน ปราศจากสารที่เสี่ยงระคายเคืองหนังศีรษะ เช่น แอลกอฮอล์แรงหรือ ซัลเฟต (Sulfate) เป็นต้น
  • หากหยุดใช้ยา ผมจะกลับมาร่วงเหมือนก่อนใช้

สารสกัดทางเลือกทดแทนไมน็อกซิดิลมีอะไรบ้าง?

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ไมน็อกซิดิลได้ หรือกำลังมองหาทางเลือกอื่นที่มีหลักฐานผลทดสอบทางคลินิก หรือการศึกษาทางวิชาการรองรับก็สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดผมร่วงที่มี สารออกฤทธิ์ (Active Ingredient) ดังนี้เป็นส่วนประกอบ

  • CapixylTM สารออกฤทธิ์ที่ผสมผสานระหว่าง เปปไทด์ (Acetyl Tetrapeptide-3) กับสารสกัดจาก ดอกโคลเวอร์แดง (Red Clover) ช่วยยับยั้งเอนไซม์ 5α-Reductase ทั้ง Type 1 และ Type 2 ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดผมร่วงจากฮอร์โมน DHT พร้อมช่วยส่งเสริมการสร้างผมงอกใหม่ โดยการส่งเสริมการทำงานของ เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ที่บริเวณรากผม (Dermal Papilla) จากผลทดสอบในห้องทดลองระหว่างดมน็อกซิดิล และ Capixil ในรากผมที่เก็บจากระยะเติบโต (Anagen Phase) เป็นเวลา 7 วัน พบว่าความยาวของรากผมที่ได้รับ Minoxidil เพิ่มขึ้น 52% ขณะที่ความยาวของรากผมที่ได้รับ CapixilTM เพิ่มขึ้นถึง 156% ซึ่งมากกว่า Minoxidil ถึง 3 เท่า
  • RedensylTM สารออกฤทธิ์ที่สกัดจากใบชาเขียว และพืชตระกูลสน ทำงานผ่านการกระตุ้นสเต็มเซลล์ของรากผม (Hair Follicle Stem Cells) และ Fibroblasts มีส่วนประกอบสำคัญคือ DHQG และ EGCG2 จากใบชาเขียว ช่วยเพิ่มอัตราการแบ่งตัวของเซลล์และกระตุ้นวงจรผมให้เข้าสู่ระยะ Anagen ได้เร็วขึ้น โดย RedensylTM มีผลทดสอบทางคลินิกเปรียบเทียบกับไมน็อกซิดิล พบว่า Redensyl™ สามารถกระตุ้นการงอกของเซลล์รากผม (Hair follicle growth) ได้ดีกว่า Minoxidil เกือบถึง 2 เท่าภายใน 10 วัน
  • ProcapilTM สารสกัดที่ได้จากใบมะกอกและพืชตระกูลซิตรัส มีสารสำคัญ 3 ชนิดที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้รากผม และยับยั้งฮอร์โมน DHT พร้อมส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่หนังศีรษะ ได้แก่ Biotinyl-GHK (เปปไทด์) Apigenin (ฟลาโวนอยด์จากพืช) และ Oleanolic Acid

นอกจากนี้ ยังมีผลทดสอบทางคลินิก ชี้ให้เห็นว่า เมื่อใช้ Capixyl, Redensyl และ Procapil ร่วมกันเป็นเวลา 24 สัปดาห์ อาสาสมัครที่มีปัญหาผมร่วงเห้นผมงอกใหม่ถึง 88.9%ขณะที่ ไมน็อกซิดิล เห็นผล 60%[18]

  • สารสกัดจากพืชสมุนไพร ที่มีผลวิจัยรับรองว่าสามารถช่วยลดผมร่วงที่เกิดจากฮอร์โมน DHT และส่งเสริมการงอกใหม่ของเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่ ดอกอัญชัน[1], ทองพันชั่ง[1][2], มะขามป้อม[1][2], รำข้าว[3], ดอกคำฝอย[1][2], ประคำดีควาย[4][5][6], สารภี[7], เทียนกิ่ง[8][9][10][11][12] และ ใบมะกรูด[1][13][14][15][16][17]

สำหรับผู้มีปัญหาผมร่วงที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ทางเลือกทดแทนไมน็อกซิดิลที่มีสารสกัดตามที่กล่าวมาข้างต้น หรือกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกับไมน็อกซิดิลได้ ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ AloEx ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากแนะนำให้ผู้มีปัญหาผมร่วงผมบางใช้

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

[1] Kumar, N., Rungseevijitprapa, W., Narkkhong, N.-A., Suttajit, M., & Chaiyasut, C. 5α-Reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. Journal of Ethnopharmacology, 2011:135(3), 529-535

[2] Stansbury, J. (2016, April 4). Herbal Medicines for Hair Loss. Borealis Naturopathic Health Centre. https://whyborealis.ca/naturopathic/herbal-medicines-for-hair-loss/

[3] Ruksiriwanich, W., Manosroi, J., Abe, M., Manosroi, W., & Manosroi, A.. 5α-Reductase type 1 inhibition of Oryza sativa bran extract prepared by supercritical carbon dioxide fluid. Journal of Supercritical Fluids, 2011:59(1), 61-71. https://doi.org/10.1016/j.supflu.2011.07.017

[4] Kumar, N., Rungseevijitprapa, W., Narkkhong, N., Suttajit, M., & Chaiyasut, C. (2011). 5α-reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. Journal of Ethnopharmacology, 145(3), 750–756. https://doi.org/10.1016/j.jep.2011.12.010

[5] Shah, M., Parveen, Z., & Khan, M. R. (2017). Evaluation of antioxidant, anti-inflammatory, analgesic, and antipyretic activities of the stem bark of Sapindus mukorossi. BMC Complementary and Alternative Medicine, 17, 526. https://doi.org/10.1186/s12906-017-2042-3

[6] Waqas, M. K., Khan, B. A., Akhtar, N., Chowdhry, F., Khan, H., Bakhsh, S., Khan, S., & Rasul, A. (2017). Fabrication of Tamarindus indica seeds extract-loaded cream for photo-aged skin: Visioscan® studies. Advances in Dermatology and Allergology, 34(4), 339–345. https://doi.org/10.5114/ada.2017.69314

[7] Morikawa, T., Luo, F., Manse, Y., Sugita, H., Saeki, S., Chaipech, S., Pongpiriyadacha, Y., Muraoka, O., & Ninomiya, K. Geranylated coumarins from Thai medicinal plant Mammea siamensis with testosterone 5α-reductase inhibitory activity. Frontiers in Chemistry, 2020: 8, 199. https://doi.org/10.3389/fchem.2020.00199

[8] Zheng, Y., Hu, Y., Liu, K., Lu, Y., Hu, Y., & Zhou, X. Therapeutic effect of Impatiens balsamina, Lawsonia inermis L., and Henna on androgenetic alopecia in mice. Nan Fang Yi Ke Da Xue Xue Bao, 2019:39(11), 1376-1380. https://doi.org/10.12122/j.issn.1673-4254.2019.11.17

[9] Sadeghinia, A., & Sadeghinia, S. Comparison of the efficacy of topical lawsonia inermis and topical minoxidil in the treatment of telogen effluvium. Natural Products An Indian Journal, 2011: 7(3), 159-162

[10] Rahmany, E., Çakici, A., & Çakir, E. Antioxidant activity and phenolic compounds of Lawson molecule extracted from Lawsonia Inermis (Henna). International Journal of Food Engineering Research (IJFER), 2021:7(1), 1-17. DOI: 10.17932/IAU.IJFER.2015.003/ijfer_v07i1001

[11] Moutawalli, A., Benkhouili, F. Z., Doukkali, A., Benzeid, H., & Zahidi, A. The biological and pharmacologic actions of Lawsonia inermis L. Phytomedicine Plus, 2023: 3, 100468. https://doi.org/10.1016/j.phyplu.2023.100468

[12] Dasgupta, T. , Rao, A. R. , & Yadava, P. K. Modulatory effect of henna leaf (Lawsonia inermis) on drug metabolising phase I and phase II enzymes, antioxidant enzymes, lipid peroxidation and chemically induced skin and forestomach papillomagenesis in mice. Mol Cell Biochem, 2003:245(1-2), 11-22. doi: 10.1023/a:1022853007710

[13] Kumar, N., Rungseevijitprapa, W., Narkkhong, N.-A., Suttajit, M., & Chaiyasut, C. 5α-Reductase inhibition and hair growth promotion of some Thai plants traditionally used for hair treatment. Journal of Ethnopharmacology, 2011:139(3), 765-771

[14] Kang, J.-I., Choi, Y. K., Han, S.-C., Kim, H. G., Hong, S. W., Kim, J., Kim, J. H., Hyun, J. W., Yoo, E.-S., & Kang, H.-K. Limonin, a Component of Immature Citrus Fruits, Activates Anagen Signaling in Dermal Papilla Cells. Nutrients, 2022:14(5358). https://doi.org/10.3390/nu14245358

[15] Latirah , Nugroho P. D. Fomulation of Antidandruff Shampoo From Skin Fruit Extract And Press Water Lime (Citrus Hystirx DC.) With Various Concentrations. Sanitas Jurnal Teknologi Dan Seni Kesehatan, 2020:11(2), 136-148 https://doi.org/10.36525/sanitas.2020.12

[16] Nasution, S. L. R., Nasution, A. N., & Nasution, S. W. An Experiment for Extracted Citrus Hystrix Leaf Effectiveness on Pityrosporum Ovale Fungi Growth. In Proceedings of the International Conference on Health Informatics, Medical, Biological Engineering, and Pharmaceutical (HIMBEP 2020) (pp. 291-295). SCITEPRESS – Science and Technology Publications. https://doi.org/10.5220/0010352902910295

[17] Butryee, C., & Kupradinun, P. Antioxidant capacity of Citrus hystrix leaf using in vitro methods and their anticlastogenic potential using the erythrocyte micronucleus assay in the mouse. Toxicology Letters, 2008:180S, S79. https://doi.org/10.1016/j.toxlet.2008.06.505

[18] Karaca, N., & Akpolat, N. D. (2019). A comparative study between topical 5% minoxidil and topical redensyl, capixyl, and procapil combination in men with androgenic alopecia. Journal of Dermatology and Hair Research

Share this article

เสียงตอบรับจากผู้ใช้ ผลิตภัณฑ์ AloEx

*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

บทความที่เกี่ยวข้อง